การเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และอันดับ SEO ของเว็บไซต์ WordPress ของคุณ การใช้ Cache Plugins เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการลดเวลาโหลดหน้าเว็บ โดยการเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ในหน่วยความจำของเซิร์ฟเวอร์หรือลูกค้า
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับแคช (Cache) พื้นฐานก่อนว่าทำหน้าที่หรือมีบทความการทำงานอย่างไรที่ช่วยให้เว็บไซต์ดีขึ้นอย่างไรบ้าง
Cache คืออะไร
Cache คือ เทคนิคในการจัดเก็บข้อมูลชั่วคราวที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ ไว้ในหน่วยความจำที่สามารถเข้าถึงได้รวดเร็ว เช่น RAM หรือพื้นที่จัดเก็บอื่นๆ ที่มีความเร็วสูง โดยข้อมูลที่ถูกเก็บในแคชจะช่วยให้ระบบหรืออุปกรณ์สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้เร็วกว่าเดิม แทนที่จะต้องดึงข้อมูลใหม่ทุกครั้งจากแหล่งต้นทาง เช่น ฐานข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์
5 ปลั๊กอินแคชที่แนะนำสำหรับติดตั้งในเว็บไซต์ WordPress
1. WP Rocket

เป็นหนึ่งใน Cache Plugins ที่ดีที่สุดสำหรับ WordPress ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครันและการตั้งค่าที่ง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
จุดเด่น
- เปิดใช้งาน Page Caching อัตโนมัติ
- รองรับการบีบอัด Gzip
- ปรับแต่ง CSS และ JavaScript ให้มีขนาดเล็กลง
- รองรับ Lazy Loading สำหรับรูปภาพและวิดีโอ
- ตั้งค่าการเชื่อมต่อกับ CDN ได้อย่างง่ายดาย
เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่ต้องการปลั๊กอินที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ครบถ้วนในตัว
ราคา – เป็นปลั๊กอินแบบเสียเงิน เริ่มต้นที่ $59 ต่อปี
2. W3 Total Cache

เป็นปลั๊กอินฟรีที่มีความสามารถในการปรับแต่งขั้นสูงและเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการการจัดการ Cache ที่ซับซ้อน
จุดเด่น
- รองรับการจัดการ Page Cache และ Database Cache
- การบีบอัด HTML, CSS และ JavaScript
- เชื่อมต่อกับ CDN และ Object Caching
- รองรับการใช้งานกับเว็บไซต์ที่ใช้โครงสร้างหลายเซิร์ฟเวอร์
เหมาะสำหรับ
- ผู้ใช้ระดับมืออาชีพที่ต้องการปรับแต่ง Cache ในระดับลึก
ราคา – มีเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชัน Pro เริ่มต้นที่ $99 ต่อปี
3. LiteSpeed Cache

เป็นปลั๊กอินฟรีที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมบนเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ LiteSpeed โดยมีความสามารถที่หลากหลายและประสิทธิภาพสูง
จุดเด่น
- รองรับการบีบอัด Brotli และ Gzip
- ระบบ Image Optimization เพื่อลดขนาดไฟล์ภาพ
- รองรับการใช้งานกับ WooCommerce
- ระบบ Edge Side Includes (ESI) สำหรับการแคชเฉพาะบางส่วนของหน้าเว็บ
ราคา – สามารถใช้งานได้ฟรี
4. Redis Object Cache

เครื่องมือที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ใช้ฐานข้อมูลอย่างเข้มข้น เช่น WordPress หรือระบบที่ต้องการประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว Redis ช่วยลดเวลาการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและตอบสนองผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น
จุดเด่น
- ลดเวลาการโหลดหน้าเว็บไซต์ ทำให้โหลดหน้าเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น
- ลดการประมวลผลที่ต้องใช้กับฐานข้อมูลหลัก
- มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง
เหมาะสำหรับ
- เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
- เว็บไซต์ข่าว
- แพลตฟอร์มชุมชนหรือมีกระเานสนทนา
5. WP-Optimize Clean, Compress, Cache

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ WordPress แบบครบวงจร โดยให้บริการทั้งในด้านการทำความสะอาดฐานข้อมูล การบีบอัดรูปภาพ และการแคชหน้าเว็บ ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและลดการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์
จุดเด่น
- ช่วยลดขนาดไฟล์ของรูปภาพโดยไม่ลดคุณภาพ ในรูปแบบ JPEG, PNG และ GIF
- รองรับการแคชทั้งหน้าเว็บ
วิธีเลือก Cache Plugin ที่เหมาะกับคุณ
- เป้าหมายของเว็บไซต์
- หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหามากและต้องการการจัดการ Cache ที่ซับซ้อน ควรเลือก W3 Total Cache หรือ LiteSpeed Cache
- หากต้องการปลั๊กอินที่ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน WP Rocket หรือ Cache Enabler อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- ประเภทของเซิร์ฟเวอร์
- ใช้เซิร์ฟเวอร์ LiteSpeed ควรเลือก LiteSpeed Cache
- สำหรับเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปแนะนำ WP Rocket
Cache Plugin เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณโหลดเร็วขึ้น และช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานได้เข้าถึงข้อมูลหน้าเว็ไบซต์อย่างรวดเร็วไม่รอนาน เราหวังว่า 5 Plugins ที่แนะนำในบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์หรือหาปลั๊กอินสำหรับการใช้งานได้อย่างดีและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด